เมื่อมีการศึกษา โกรทฮอร์โมน อย่างจริงจังพบว่า ฮอร์โมนชนิดนี้มีปริมาณสูงที่สุดเมื่อเข้าสู่อายุ 20 ปี ก่อนจะลดลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเมื่ออายุ 40 ปี และเหลือกเพียงหนึ่งในสี่ของปริมาณสูงสุดเมื่ออายุ 60 ปี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า โกรทฮอร์โมน จะหมดความสำคัญเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เพราะมันยังคงทำหน้าที่ซ่อมบำรุงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ผู้สูงอายุหลายคนมักกังวลเรื่องสภาพร่างกายที่เปลี่ยนไป เช่น เหนื่อยตลอดเวลา หรือไร้เรี่ยวแรงโดยไม่มีสาเหตุ แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ต้นเหตุที่แท้จริงมาจากการหลั่งโกรทฮอร์โมนลดลง จึงเป็นเหตุให้เซลล์ที่สึกหรอไม่ได้รับการซ่อมแซมอย่างเต็มที่
นอกจากนี้เมื่อปริมาณโกรทฮอร์โมนไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ประสิทธิภาพของวงจรการผลัดเซลล์ผิวลดลง คนวัยนี้จึงมักเผชิญปัญหาผิวหนังต่างๆ เช่น ผิวหย่อนคล้อย และผิวหนังหมองคล้ำ แต่ปัจจุบันคนวัยทำงานกลับมีปัญหาผิวหนังไม่ต่างจากผู้สูงอายุทั้งๆ ที่มีอายุ 30 กว่าๆ เท่านั้น เนื่องจากคนกลุ่มนี้ใช้ชีวิตปล่อยปละละเลย เป็นผลให้ฮอร์โมนลดลงไปเรื่อยๆ
สิ่งเดียวที่มีผลต่อการเพิ่มหรือลดลงของปริมาณโกรทฮอร์โมน คือ คุณภาพการนอน หากร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่ ความสามารถของโกรทฮอร์โมนจะลดลงทันที
งานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า โกรทฮอร์โมนจะผลิตและหลั่งออกมามากที่สุดช่วงนอนหลับสนิทระหว่าง 23.00 – 7.00 น. ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับคนทำงานเป็นกะ แต่สำหรับคนทั่วไป หากได้นอนตามนี้ก็จะช่วยกระตุ้นให้โกรทฮอร์โมนผลิตออกมาอย่างพอเหมาะ
คนวัย 40 – 50 ปี ที่มีอาการนอนหลับยากหรือนอนหลับไม่สนิท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการนอนลดลง ด้วยเหตุนี้การนอนหลับในช่วงหลับลึกและช่วงหลับฝันจึงสั้นลง ตื่นบ่อย หรือลุกเข้าห้องน้ำกลางดึกบ่อย ทำให้ร่างกายตื่นบ่อยตามไปด้วย พอกลับมานอนเท่ากับต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการทำงานของฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (antidiuretic hormone) หรือวาโซเพรสซิน (vasopressin) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมปริมาณปัสสาวะ เมื่ออายุย่างเข้า 50 ปี อัตราการหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้กลับลดลงฮวบฮาบ เป็นเหตุให้กลไกควบคุมปัสสาวะเสื่อมยิ่งกว่าเดิม
หากผู้ใหญ่วัยสูงอายุพยายามปรับพฤติกรรมให้การนอนหลับมีคุณภาพดีขึ้น จะช่วยให้การหลั่งโกรทฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้นด้วยหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ เพราะเมื่อโกรทฮอร์โมนในวัยสูงอายุลดลงแล้ว การปรับพฤติกรรมการนอนไม่สมารถช่วยให้ฮอร์โมนเพิ่มขึ้นแบบกระทันหันได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเคล็ดลับที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งโกรทฮอร์โมนให้เพิ่มขึ้น คือ ปล่อยให้ท้องว่างและหิวปานกลาง รู้สึกเครียดเล็กน้อย และออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ
การปล่อยให้หิวปานกลางเป็นวิธีกระตุ้นให้การหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนทำงานได้ดี โดยปกติร่างกายใช้เวลาย่อยอาหารประมาณ 3-4 ชั่วโมง จากนั้นท้องจะว่าง การเว้นช่วงระหว่างมื้อราว 5 ชั่วโมงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด แต่ไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างนานกว่านั้น เพราะร่างกายจะคิดว่ากำลังเข้าสู่ภาวะขาดแคลนอาหาร ก่อให้เกิดความเครียดกับร่างกายโดยไม่จำเป็น
วิธีปล่อยให้หิวปานกลางแบบง่ายๆ ได้แก่ งดกินจุบจิบช่วงระหว่างมื้อ กินอาหารครบสามมื้อและตรงเวลา และอย่าปล่อยให้ท้องร้อง ควรปฏิบัติเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนการปล่อยให้ร่างกายเครียดนั้น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าความเครียดมีหลายรูปแบบ หากเป็นความเครียดที่มาจากความหวาดกลัวอันตรายหรือความโกรธ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจแน่นอน แต่ความเครียดที่เกิดจากความเหนื่อยล้าจากการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่เหนื่อยสนุก นั่นแหละคือตัวกระตุ้นการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน
ลองตั้งเป้าหมายสักอย่างในการทำงานหรืองานอดิเรกเพื่อให้ร่างกายรู้สึกเครียดเล็กน้อย พร้อมกันนี้ควรออกกำลังกายเพื่อช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้ชีวิต เมื่อกล้ามเนื้อเคลื่อนไหวเซลล์กล้ามเนื้อจะเกิดความเสียหาย ร่างกายจึงหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เช่นเดียวกับช่วงที่เรารู้สึกเครียด
การออกกำลังกายที่ส่งผลดีต่อการกระตุ้นโกร๊ธฮอร์โมน คือ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก คือการออกกำลังกายที่ต้องใช้อากาศเป็นตัวช่วยเผาผลาญ ผสมกับแบบแอนโรบิก คือการออกกำลังกายแบบไม่ต้องใช้อากาศในการเผาผลาญ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ กระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อ ดีต่อหัวใจและปอด
ข้อมูลประกอบจากหนังสือ อ่อนวัยแน่แค่ปรับฮอร์โมน
สำนักพิมพ์ Amarin Healt
https://goodlifeupdate.com/lifestyle/102750.html
หน้าที่เข้าชม | 54,298 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 35,096 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 พ.ค. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 17 ต.ค. 2568 |